เครื่องดื่มสำคัญของโลก
เครื่องดื่มที่มีชื่อเสียงมากของโลก หนึ่งในนั้น เห็นจะไม่พ้น เบียร์
เพราะว่าไปไหนก็เห็นคนชอบดื่มกันเหลือเกิน
ความจริงแล้ว เบียร์นี่แหละ คือเครื่องดื่มที่เก่าแก่ที่สุดของโลกเลยละ
เมื่อประมาณ 10,000 – 15,000 ปีที่แล้ว
มนุษย์ได้เริ่มมีการเก็บเกี่ยวปลูกพืช และเลี้ยงสัตว์
และพืชชนิดแรกที่พวกเขาค้นพบ และนำมาทำการกสิกรรมก็คือ ต้นข้าว นั่นเอง
การปลูกข้าวได้ทำให้คนเริ่มลงหลักปักฐาน และอยู่อาศัยเป็นที่เป็นทาง
และต่อมาหลังจากนั้นประมาณ 5,000 ปี ก็ได้มีการปลูกพืชต่างๆ
ข้าวยังคงเป็นพืชหลัก และมีการปลูกข้าวบาร์เลย์เข้ามาด้วย
ซึ่งหลังจากสำรวจแล้ว นักประวัติศาสตร์ได้พบหลักฐานการนำข้าวบาร์เลย์มาทำเบียร์
โดยชนชาติแรกที่เริ่มทำ ก็คือ พวกสุเมเรียน
อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานที่แน่นอนว่าเบียร์เกิดขึ้นได้อย่างไร
จากการสันนิษฐานของนักประวัติศาสตร์ พวกเขาเดาว่า
การค้นพบเบียร์น่าจะเกิดโดยบังเอิญ
จากการที่ขนมปังบางก้อนเกิดเปียก และถูกทิ้งไว้ในจาน
จากนั้นมันก็กลายเป็นน้ำ และกลายมาเป็นเบียร์ในที่สุด
เพราะว่าไปไหนก็เห็นคนชอบดื่มกันเหลือเกิน
ความจริงแล้ว เบียร์นี่แหละ คือเครื่องดื่มที่เก่าแก่ที่สุดของโลกเลยละ
เมื่อประมาณ 10,000 – 15,000 ปีที่แล้ว
มนุษย์ได้เริ่มมีการเก็บเกี่ยวปลูกพืช และเลี้ยงสัตว์
และพืชชนิดแรกที่พวกเขาค้นพบ และนำมาทำการกสิกรรมก็คือ ต้นข้าว นั่นเอง
การปลูกข้าวได้ทำให้คนเริ่มลงหลักปักฐาน และอยู่อาศัยเป็นที่เป็นทาง
และต่อมาหลังจากนั้นประมาณ 5,000 ปี ก็ได้มีการปลูกพืชต่างๆ
ข้าวยังคงเป็นพืชหลัก และมีการปลูกข้าวบาร์เลย์เข้ามาด้วย
ซึ่งหลังจากสำรวจแล้ว นักประวัติศาสตร์ได้พบหลักฐานการนำข้าวบาร์เลย์มาทำเบียร์
โดยชนชาติแรกที่เริ่มทำ ก็คือ พวกสุเมเรียน
อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานที่แน่นอนว่าเบียร์เกิดขึ้นได้อย่างไร
จากการสันนิษฐานของนักประวัติศาสตร์ พวกเขาเดาว่า
การค้นพบเบียร์น่าจะเกิดโดยบังเอิญ
จากการที่ขนมปังบางก้อนเกิดเปียก และถูกทิ้งไว้ในจาน
จากนั้นมันก็กลายเป็นน้ำ และกลายมาเป็นเบียร์ในที่สุด
เพราะจากบันทึกของพวกสุเมเรียน พบว่าพวกเขาบันทึกวิธีการทำเบียร์ไว้ว่า
ต้องนำขนมปังที่ทำจากข้าวบาร์เลย์ มาใส่ในน้ำ ขยำๆ แล้วจะได้เครื่องดื่มที่ทำให้คนรู้สึก
“มีความสุข สนุกสนาน และรื่นเริง”
ก็เลยน่าจะเป็นไปได้ว่าคนสมัยก่อนไม่รู้วิธีทำเบียร์โดยตรง
พวกเขาจึงใช้การทำขนมปังเป็นทางผ่านนั่นเอง
แต่นอกจากนี้ ก็มีบันทึกของชาวเมโสโปเตเมียที่บันทึกไว้ว่า
เมื่อนำข้าวบาร์เลย์มาแช่ทิ้งในน้ำ จะมีรสหวาน
(ทั้งนี้เพราะเมล็ดข้าวที่ชื้นจะผลิตเอนไซม์ เปลี่ยนแป้งให้กลายเป็นน้ำตาลมอลต์
ซึ่งกระบวนการนี้เกิดกับข้าวทุกชนิด แต่บาร์เลย์จะผลิตน้ำตาลได้มากที่สุด)
นอกจากนี้ มีการบันทึกว่า เมื่อพวกเขานำข้าวมาต้มเป็นโจ๊ก
และทิ้งไว้สองสามวัน ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้เพราะยีสต์ในอากาศได้เปลี่ยนโจ๊กให้เป็นแอลกอฮอล์นั่นเอง
ทำให้โจ๊กกลายเป็นของเหลวรสชาติซ่าๆ ดื่มแล้วครึ้มอกครึ้มใจ
อย่างไรก็ตาม ไม่นานต่อมา มนุษย์ก็พบวิธีการทำเบียร์ที่ถูกต้อง
จากการนำเมล็ดข้าวต่างๆ มาสกัด เพื่อหาข้าวที่สามารถนำมาทำเบียร์ได้ดีที่สุด
เมื่อพบว่าข้าวให้แอลกอฮอล์ดีที่สุดคือ บาร์เลย์ พวกเขาก็ได้ตั้งโรงเบียร์ขึ้น
และเครื่องดื่มชนิดนี้ ก็ถูกนำมาใช้บูชาเทพเจ้าอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา
และคงอยู่ยืนยาวมาจนวันนี้
ต้องนำขนมปังที่ทำจากข้าวบาร์เลย์ มาใส่ในน้ำ ขยำๆ แล้วจะได้เครื่องดื่มที่ทำให้คนรู้สึก
“มีความสุข สนุกสนาน และรื่นเริง”
ก็เลยน่าจะเป็นไปได้ว่าคนสมัยก่อนไม่รู้วิธีทำเบียร์โดยตรง
พวกเขาจึงใช้การทำขนมปังเป็นทางผ่านนั่นเอง
แต่นอกจากนี้ ก็มีบันทึกของชาวเมโสโปเตเมียที่บันทึกไว้ว่า
เมื่อนำข้าวบาร์เลย์มาแช่ทิ้งในน้ำ จะมีรสหวาน
(ทั้งนี้เพราะเมล็ดข้าวที่ชื้นจะผลิตเอนไซม์ เปลี่ยนแป้งให้กลายเป็นน้ำตาลมอลต์
ซึ่งกระบวนการนี้เกิดกับข้าวทุกชนิด แต่บาร์เลย์จะผลิตน้ำตาลได้มากที่สุด)
นอกจากนี้ มีการบันทึกว่า เมื่อพวกเขานำข้าวมาต้มเป็นโจ๊ก
และทิ้งไว้สองสามวัน ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้เพราะยีสต์ในอากาศได้เปลี่ยนโจ๊กให้เป็นแอลกอฮอล์นั่นเอง
ทำให้โจ๊กกลายเป็นของเหลวรสชาติซ่าๆ ดื่มแล้วครึ้มอกครึ้มใจ
อย่างไรก็ตาม ไม่นานต่อมา มนุษย์ก็พบวิธีการทำเบียร์ที่ถูกต้อง
จากการนำเมล็ดข้าวต่างๆ มาสกัด เพื่อหาข้าวที่สามารถนำมาทำเบียร์ได้ดีที่สุด
เมื่อพบว่าข้าวให้แอลกอฮอล์ดีที่สุดคือ บาร์เลย์ พวกเขาก็ได้ตั้งโรงเบียร์ขึ้น
และเครื่องดื่มชนิดนี้ ก็ถูกนำมาใช้บูชาเทพเจ้าอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา
และคงอยู่ยืนยาวมาจนวันนี้